วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติอาจารย์นารถ โพธิประสาท


อาจารย์นารถ โพธิประสาท (14 พฤศจิกายน 2444 – 18 มิถุนายน 2497 รวมอายุ 53ปี ) สถาปนิก อาจารย์และผู้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาด้านสถาปัตยกรรม ระดับปริญญาแห่งแรกของประเทศไทยที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผู้ร่วมสถาปนาวิชาชีพสถาปัตยกรรมของประเทศ

นายนารถ โพธิประสาท เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 ที่บ้านเลขที่ 2328 หลัง
ตลาดบ้านขมิ้น ตำบลสวนอนันท์อุทยาน อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี เป็นบุตรของนายเปรี้ยง
และนางไหว มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันคือ น.พ. ถนอม โพธิประสาท นายนารถได้สมรสกับนาง
สกุนตลา โพธิประสาท ชื่อเดิมนางสาวสกุล นิวาสนันท์ บุตรีนายหลวง และนางฉายวัชรจินดา ด้วย
ความที่ท่านเป็นคนที่มีความมานะ อุตสาหะและเรียนเก่งมาก จึงทำให้ท่านได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนทุนของกระทรวงธรรมการ ให้ไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ.2467

ประวัติการศึกษาและการทำงานเบื้องต้น

- เริ่มการศึกษาระดับชั้นประถมที่ โรงเรียนโฆษิตสโมสร
- พ.ศ. 2460 จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
- พ.ศ. 2461 อายุเพียง 17 ปี ก็ได้เริ่มทำงานเป็นครูประจำชั้นโรงเรียนสวนกุหลาบ ได้เงินเดือน 60 บาท เป็นครูช่วยสอนภาษาอังกฤษตอนบ่ายโรงเรียนสตรีวิทยา และต่อมาได้เป็นครูถวายพระอักษรภาษาไทยและคำนวณแด่พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
- พ.ศ. 2462 อาจารย์นารถได้ขอเปลี่ยนตำแหน่งไปเป็นครูฝึกหัดโรงเรียนสวนกุหลาบเพื่อรับการคัดเลือกไปศึกษาวิชาในต่างประเทศ โดยต้องลดเงินเดือนลงมาเหลือเพียงเดือนละ 30 บาท
- พ.ศ. 2464 - พ.ศ. 2467 ได้รับทุนจากกระทรวงธรรมการให้ไปศึกษาที่โรงเรียนศิลปกรรมปอร์ตสมัธ( Portsmouth School of Art ) ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา3ปี จนจบการศึกษาได้รับประกาศนียบัตรเทคนิคทางจิตรกรรม
- พ.ศ. 2467 ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายหมู่ลูกเสือไทยไปร่วมประชุมนานาชาติ ณ กรุงโคเปนเฮเกน เสร็จประชุมแล้วเดินทางกลับประเทศอังกฤษ ผ่านประเทศเยอรมนี เบลเยียมและฝรั่งเศส ได้แวะศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมแบบภาคพื้นยุโรปด้วยการเห็นของจริง ปีต่อมา (พ.ศ. 2468) เมื่ออายุ 25 ปีได้เลือกเข้าศึกษาที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งท่านได้รับผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาเสมอ

โดยระหว่างที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลนั้นนายนารถได้ชนะการประกวดแบบ ซึ่งชาวต่างประเทศน้อยคนจะได้รับรางวัล และต้องเป็นนักเรียนดีที่สุด อันมีรางวัลให้ไปดูงานและฝึกอบรม ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองดีทรอยท์ 6 เดือน และได้มีโอกาสเข้าร่วมออกแบบและควบคุมงานโรงภาพยนตร์ นิว ฟอกซ์ดีทรอยท์ หลังจากนั้นท่านก็ได้กลับมาสอบไล่เป็นผลสำเร็จได้รับปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1 ในสาขาการก่อสร้าง นับเป็นคนไทยที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับ1เป็นคนที่ 2 หลังจากพระสาโรชรัตนนิมมานก์ หลังจากนั้นท่านได้สอบเข้าเป็นสมาชิกสถาบันวิชาชีพจนได้รับประกาศนียบัตรสมาชิกของสถาบัน 3 แห่ง ได้แก่ ประกาศนียบัตรสมาชิกแห่งราชบัณฑิตยสภา สถาปนิกอังกฤษ(A.R.I.B.A.Qual.) ประกาศนียบัตร สมาชิกแห่งราชบัณฑิตยสภาสุขาภิบาล(M.R.S.San.I.) และ ประกาศนียบัตร สมาชิกสมทบแห่งสภาวิศวกรรม(A.I.Struct.E.)

นอกจากนั้นในปีพ.ศ. 2473 นายนารถ ยังได้ฝึกงานในสำนักงานสถาปนิกของประเทศอังกฤษเป็นเวลา6เดือน และศึกษาสังเกตการณ์สถาปัตยกรรมในประเทศอื่นๆในยุโรปเป็นเวลาอีก 2เดือน เพื่อศึกษาดูงานสถาปัตยกรรมอิตาลี พร้อมทั้งศึกษาเพิ่มเติมวิชาผังเมืองและกฎหมายก่อสร้างตลอดจนศึกษาเรื่องที่ดิน และอุโฆษวิทยาของอาคาร(Acoustic of Buildings)

สรุปได้ว่า นายนารถอยู่ต่างประเทศในช่วงเวลา พ.ศ. 2464 – พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1921 –ค.ศ. 1930) รวม 9 ปี
เมื่อกลับมาประเทศไทยในปีพ.ศ. 2473 ก็ได้มาเป็นครูสอนวิชาช่างที่โรงเรียนเพาะช่าง ต่อจากนั้นได้ดำเนินการเสนอรัฐบาลให้ยกฐานะวิชาสถาปัตยกรรมขึ้นสู่ระดับอุดมศึกษาเป็นแผนกวิชาสถาปัตยกรรม ในสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ประวัติการทำงานหลังจบการศึกษาในต่างประเทศ

พ.ศ. 2473 เข้ารับราชการเป็นอาจารย์โท ในโรงเรียนเพาะช่าง เป็นโรงเรียนสอนเฉพาะวิชาช่างสาขาต่างๆ แต่ยังไม่มีสาขาสถาปัตยกรรม จึงได้วางหลักสูตรวิชาสถาปัตยกรรมเป็นการทดลองเป็นเวลา 2 ปี เพื่อนำผลทดสอบเพื่อเป็นทางเปิดเป็นหลักสูตรโดยตรงในมหาวิทยาลัยในเวลาต่อไป โดยรับนักเรียนที่เรียนวิชาวาดเขียน ตามหลักสูตรโรงเรียนเพาะช่างแล้วเข้าศึกษาจำนวน 2 รุ่น รวม 30 คน ซึ่งการทดลองสอนของอาจารย์นารถ ปรากฏผลเป็นที่พอใจ ต่อมา เจ้าพระยาธรรมศักดิมนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ จึงได้มีคำสั่งให้โอนย้ายแผนกสถาปัตยกรรม จากวิทยาลัยเพาะช่าง มาขึ้นกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2475 โดยให้เป็นแผนกหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และให้ใช้บ้านพักผู้บัญชาการมหาวิทยาลัย เรือนพระรตราชา เป็นอาคารเรียนชั่วคราว ทำให้อาจารย์นารถต้องทำงานอย่างหนักทั้งทางด้านการบริหารและวิชาการ เชิญสถาปนิกจากหน่วยงานอื่นมาช่วยสอน เช่น หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ หม่อมเจ้าประสมสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์สถาปนิกกรมรถไฟและผู้อื่นอีกหลายท่าน

พ.ศ. 2476 เป็นอาจารย์ แผนกวิชาสถาปัตยกรรมในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากมีประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งกระทรวงและกรม พุทธศักราช 2476 ยกฐานะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรมหนึ่งในกระทรวงธรรมการ ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาการจัดวางระเบียบราชการสำนักงานและกรมในกระทรวงธรรมการพุทธศักราช 2476 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พุทธศักราช 2476 ให้แผนกสถาปัตยกรรมเป็นแผนกหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดรับนักศึกษาเข้าเรียนที่แผนกสถาปัตยกรรมโดยตรงเป็นปีแรก ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนเป็น 3 ปี เมื่อจบการศึกษาจะได้รับอนุปริญญา

ต่อมา ได้แยกแผนกสถาปัตยกรรมออกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีฐานะเป็นแผนกอิสระ ขึ้นตรงต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2477 และแต่งตั้งพระเจริญวิศวกรรม คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นผู้รักษาการ ตำแหน่งหัวหน้าแผนกอิสระสถาปัตยกรรมศาสตร์ อีกตำแหน่งหนึ่ง ในปีนี้ มีผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร 3 ปี ซึ่งมาจากวิทยาลัยเพาะช่างจำนวน 11 คน


- พ.ศ. 2477 สถาปนิก กรมโยธาเทศบาล
เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นได้เร่งรัดพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะด้านการก่อสร้าง จึงต้องหา ผู้มีความรู้ความสามารถโดยตรงมาวางรากฐาน กรมโยธาเทศบาลจึงขอโอนอาจารย์นารถไปเป็นนายช่างสถาปนิก หัวหน้ากองสถาปัตยกรรม ในกรมโยธาเทศบาล

อาจารย์นารถได้วางระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติราชการโดยใช้หลักวิชาครูในการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับการถ่ายทอดทั้งความรู้ ความละเอียดรอบคอบและความมีหลักการ การออกแบบอาคารเน้นความเรียบง่าย ประหยัด ประโยชน์ใช้สอยมาก่อนความสวยงาม มีอาคารที่ออกแบบและคำนวณโครงสร้างเอง คือ อาคารที่ทำการสถานีตำรวจพลับพลาไชย สูง 5 ชั้น ในระหว่างที่อยู่กรมโยธาเทศบาลอาจารย์นารถก็ยังไปสอนเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ตลอดเวลา
- พ.ศ. 2479 หัวหน้ากองสถาปัตยกรรม กรมโยธาเทศบาล
- พ.ศ. 2493 นายช่างประจำ กรมโยธาเทศบาล
- พ.ศ. 2494 อาจารย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในปีพ.ศ. 2482 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ยกฐานะแผนกอิสระสถาปัตยกรรม ขึ้นเป็นคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ปรับปรุงหลักสูตรเป็นขั้นปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต ใช้เวลาเรียน 5 ปี โดยแต่งตั้งให้ พระยาประกิตกลศาสตร์ (รุณชิต กาญจนวณิชย์) เป็นคณบดีคนแรกของคณะ ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปีพ.ศ. 2486-2497
และเนื่องจากทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกิดขาดแคลนอาจารย์ จึงได้เจรจาขอโอนตัวอาจารย์นารถกลับไปรับตำแหน่งอาจารย์เอกตามเดิม ซึ่งอาจารย์นารถได้ทุ่มเทให้กับการบริหารและการสอนอย่างหนักทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม

นายนารถกลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เพียงแค่ 3 ปี ก็ถึงแก่กรรมในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2497 หลังจากกลับจากการประชุมปรับปรุงหลักสูตรสถาปัตยกรรมที่คณะสถาปัตยกรรม เพียง 3-4 ชั่วโมง อาจารย์นารถ ก็ถึงแก่กรรมจากโรคปอดซึ่งเป็นโรคที่ยังรักษาไม่ได้ในขณะนั้น และมีการพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2499 ณ วัดเทพศิรินทราวาส

ดังนั้นช่วงเวลาในการทำงานของนายนารถในประเทศไทยคือ พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2497(ค.ศ.1930 – ค.ศ. 1954) รวม 24 ปี

อาจารย์นารถนั้นมีบทบาทอย่างมากต่อคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการวางรากฐานโดยการวางระบบการศึกษา โดยเอาหลักสูตรของมหาวิทยาลัย Liverpool มาใช้ อาจารย์นารถนั้นมีความรู้ทางด้านทฤษฎีทางสถาปัตยกรรมที่เป็นระบบอย่างมาก และชอบการสอนมากกว่าการทำงานเป็นสถาปนิกที่กรมโยธาในยุคนั้น

ในช่วงเริ่มต้นของการศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมในประเทศไทยนั้น แนวทางการสอนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถาปัตยกรรมสากลแบบคลาสสิคตามแนวทางของ Ecole des Beaux-Arts สถาบันทางศิลปะที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส คือเน้นไปในด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ และการออกแบบเป็นหลัก โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลิตผู้ที่จะไปทำงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นกรมโยธาธิการและกรมศิลปากร ด้วยลักษณะอาคารที่ก่อสร้างในยุคนั้นเป็นอาคารที่อิงรูปแบบไทยประเพณีเป็นส่วนใหญ่ แต่ต่อมาได้มีการปรับหลักสูตรโดยเปลี่ยนไปใช้ระบบการศึกษาตามแนวทางของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ที่เน้นการสอนวิชาชีพ (Professional School) เพื่อให้ผู้ที่เรียนจบสามารถออกไปปฏิบัติงานที่ใดก็ได้

ปัจจุบันคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดวางรูปปั้นครึ่งตัวของอาจารย์นารถ โพธิประสาทไว้ ณ โถงทางเข้าอาคารเรียนหลังเดิมเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณูปการที่ท่านอาจารย์ได้มีต่อการศึกษาและวิชาชีพสถาปัตยกรรมในประเทศไทยโดยจะมีพิธีสักการะทุกวันที่ 23 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันเกิดคณะทุกปี


ด้านผลงานที่มีต่อวงการสถาปัตยกรรม
- ศาลาเฉลิมกรุง

ศาลาเฉลิมกรุงมิใช่เป็นเพียงโรงภาพยนตร์โรงหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีประวัติความเป็นมาเกี่ยวพันกับความรุ่งเรืองของกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังเป็นตัวแทนความเฟื่องฟูของวงการภาพยนตร์ของประเทศในอดีตที่ผ่านมาด้วย

การก่อสร้างอาคารศาลาเฉลิมกรุงเริ่มเมื่อ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์ด้วยพระองค์เอง จากนั้นบริษัทบางกอกจึงเริ่มงานก่อสร้าง หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ทรงออกแบบอาคารศาลาเฉลิมกรุงในรูปแบบสากลสมัย (International Style หรือ Modern Style) หรือที่สถาปนิกรุ่นหลังเรียกว่า Contemporary Architecture ตัวอาคารมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมสูงตระหง่าน

มั่นคง ผึ่งผาย ตามแบบตะวันตก ได้นำความงดงามประณีตและความละเอียดอ่อนของศิลปกรรมไทยมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมตะวันตกได้อย่างลงตัว

ในส่วนโครงสร้าง นายนารถ โพธิปราสาท ได้คำนวณน้ำหนักอย่างดีเยี่ยม ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้โครงสร้างภายในเป็นตัวรับน้ำหนักแทนการใช้ผนังรับน้ำหนักอย่างสถาปัตยกรรมไทย โดยแบ่งส่วนอาคารรอบห้องโถงใหญ่ให้เป็นห้องเล็กห้องน้อย เพื่อใช้ผนังและเสาย่อยของแต่ละห้องเป็นตัวช่วยพยุงน้ำหนัก ในขณะเดียวกันก็เปิดเนื้อที่กว้างขวางไว้ภายในโดยไม่มีเสามาบังตา ส่วนประกอบอื่น เช่น ผนัง ประตูบานพับ ยังเน้นถึงความปลอดภัยของผู้ที่เข้าไปชมภาพยนตร์เป็นสำคัญ

โครงสร้างของอาคารศาลาเฉลิมกรุงมีความมั่นคงแข็งแรงมาก เพราะใช้วิธีวางฐานรากแบบแปลนด้วยการตอกเสาเข็มแบบเป็นกลุ่ม ประกอบกับโครงสร้างภายในที่ใช้โครงเหล็กอันแข็งแรง มีคุณสมบัติในการรับน้ำหนักดีเยี่ยม โครงเหล็กนี้เป็นเหล็กในลักษณะเดียวกับโครงสร้างเหล็กของสะพานพุทธฯ ที่มีขนาดใหญ่ และอาศัยการต่อเหล็กโดยใช้น็อตแบบเดียวกัน จึงทำให้โครงสร้างของอาคารศาลาเฉลิมกรุงมีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น

ในสมัยนั้นอาคารศาลาเฉลิมกรุงจัดได้ว่าเป็นอาคารที่ทันสมัยสุดในเอเชียขณะนั้น มีความสวยงามเป็นที่น่าตื่นเต้นและภาคภูมิใจแก่ผู้ได้มาสัมผัสชื่นชม สามารถจุผู้คนได้เป็นพันคน มีการออกแบบตกแต่งภายในอย่างวิจิตรงดงามด้วยศิลปะไทยสอดผสานกับศิลปะตะวันตก มีระบบไฟแสงสีที่แปลกตาอย่างไม่เคยมีมาก่อน มีระบบเสียงที่สมบูรณ์แบบ มีระบบปิด-เปิดม่านอัตโนมัติ จุดเด่นของศาลาเฉลิมกรุงก็คือระบบปรับอากาศ นับได้ว่าเป็นโรงมหรสพแห่งแรกของประเทศไทยที่ติดตั้งระบบปรับอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งทันสมัยในยุคนั้น เครื่องปรับอากาศที่นำมาใช้เป็นเครื่องปรับอากาศระบบไอน้ำรุ่นแรกจากสหรัฐอเมริกา ศาลาเฉลิมกรุงนำเครื่องปรับอากาศระบบนี้มาใช้หลังจากที่สหรัฐอเมริกาคิดระบบเครื่องปรับอากาศได้เพียง ๑๓ ปีเท่านั้น

- เมื่อ พ.ศ. 2477 อายุ 33 ปี อาจารย์นารถได้ร่วมกับสถาปนิกที่ยังมีจำนวนน้อยในขณะนั้น ก่อตั้งสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้น



โดยเริ่มจากเมื่อปี พ.ศ. 2476 สถาปนิกซึ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศจำนวนหนึ่งได้ร่วมปรึกษาหารือในการดำเนินการจัดตั้งสมาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยส่งเสริมวิชาชีพสถาปัตยกรรมให้เจริญ เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป และเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในระหว่างสมาชิกด้วยกัน ดังนั้น ในวันที่ 18 เมษายน 2477 จึงมีการประชุมของสมาคมเป็นครั้งแรก ที่ประชุมใหญ่ได้เลือกผู้ริเริ่ม 7 ท่านเป็นกรรมการอำนวยการ ซึ่งพระสาโรชรัตนนิมมานก์ เป็นนายกสมาคม และอาจารย์นารถ โพธิประสาท ดำรงตำแหน่งเป็นเหรัญญิก


ต่อมาในปี พ.ศ.2484 การดำเนินกิจการของสมาคม ต้องหยุดชะงักลงโดยปริยาย เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในภาวะสงครามกรณีพิพาทอินโดจีน วิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 และประกอบกับการสิ้นชีพพิตักษัยของ ม.จ.อิทธิเทพสรรค์ กฤดากร ซึ่งทรงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบริหารงานของสมาคม ด้วยเหตุนี้จึงมีผลให้สมาคมสถาปนิกสยามต้องหยุดกิจการชั่วระยะหนึ่ง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปี พ.ศ. 2488 ได้พิจารณาเห็นควรที่จะมีการรื้อฟื้นสมาคมสถาปนิกสยามขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในปีถัดมาจึงมีการประชุมกันขึ้นและมีความเห็นร่วมกันว่าควรจะมีการฟื้นฟูกรรมการเพื่อทำหน้าที่วางโครงการและพิจารณาร่างระเบียบการของสมาคมฯ ขึ้นใหม่ โดยยังยึดถือนโยบายเก่าของสมาคมฯไว้อาทิ การคงชื่อเดิมของสมาคมฯไว้ โดยมิได้เปลี่ยนคำว่า “สยาม” เป็น “ไทย” ด้วยเหตุนี้ สมาคมสถาปนิกสยามจึงกลับฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งนายนารถ โพธิประสาท ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมฯสถาปนิกสยามฯ เป็นคนที่3 ในปีพ.ศ. 2490


- พ.ศ. 2487 ได้เรียบเรียงหนังสือ "สถาปัตยกรรมในประเทศไทย" ตีพิมพ์เผยแพร่โดยกรมโยธาเทศบาลและใช้สอนทั้งในโรงเรียนช่างโยธาของกรมฯ เองและที่มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นตำราสถาปัตยกรรมภาษาไทยเล่มแรก ออกแบบปกโดย ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี เขียนเสร็จเมื่อ พ.ศ.2487 และกรมโยธาเทศบาล (ชื่อขณะนั้น) จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2489



การศึกษาเพื่อนำมาเรียบเรียงนี้ได้ใช้เอกสารทั้งไทยและเทศ ตลอดจนขอความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น ขอประทานความรู้จากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และขอความรู้ทางโบราณคดีจากหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์

ตัวอย่างบทความส่วนหนึ่งในประวัติสถาปัตยกรรมในประเทศไทยที่อาจารย์นารถเขียนไว้ ได้กล่าวถึงลักษณะสถาปัตยกรรมวัดไทย กล่าวว่าหลังคาโบสถ์ของวัดไทยที่ซ้อนกันมีความงดงาม ย่อมทำด้วยเหตุผลประการแรกคงมาจากประโยชน์ใช้สอย เช่น ป้องกันแดดป้องกันฝน ประการที่สองนั้นเกี่ยวกับเหตุผลทางจิตใจ ซึ่งมีมูลเหตุหลายทาง แต่ได้เสนอไว้พอเป็นหลักพิจารณาค้นหาความจริงต่อไป คือ

1.. ด้วยไทยและจีนมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาแต่โบราณกาล และไทยรู้จักลัทธิธรรมเนียมของจีนเป็นอย่างดี จีนมีประเพณีนิยมอย่างหนึ่งในการสร้างหลังคาซ้อนกัน 3 ชั้น โดยมีเหตุผลเนื่องจากร่ม 3 คัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นสิ่งมงคลควรไว้ในที่สูง และสร้างไว้บนหลังคาที่ประทับของกษัตริย์ตามประเพณีนิยม ไทยเห็นว่าเป็นแบบอย่างที่จะนำมาดัดแปลงประกอบใช้ในสถาปัตยกรรมไทยได้ จึงคิดสร้างให้มีหลังคาซ้อนกันหลายชั้นในแบบอย่างไทย แต่ประเพณีร่ม 3 คัน มิได้ปรากฏเค้าเงื่อนที่ชัดเจนในสถาปัตยกรรมไทย จึงยังไม่เป็นข้อสนับสนุนว่าหลังคาซ้อนกันหลายชั้นมาจากจีนโดยตรง

2.. ไทยได้รับพระพุทธศาสนามาจากอินเดีย เมื่อได้เห็นแบบอย่างอาคารของชาวอินเดียก็เลื่อมใส นำมาดัดแปลงและประดิษฐ์เป็นรูปแบบขึ้นใหม่ตามนิสัยใจคอของไทย จึงเป็นเหตุให้สถาปัตยกรรมไทยมีหลังคาซ้อนกันดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้นั้น เป็นเหตุผลที่พึงสำเหนียกไว้ได้ แต่ถ้าจะได้พิจารณากันโดยใกล้ชิดแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ช่างไทยก็มีเหตุผลของตนเองอยู่หลายประการ อันเป็นมูลเหตุสำคัญแห่งการประดิษฐ์แบบอย่างไทยนี้อยู่มาก.....

3.. อาคารขนาดธรรมดา มักสร้างเป็นรูปทรงถูกสัดส่วนได้ง่าย ฉะนั้น ขนาดของหลังคาและส่วนสัมพันธ์ก็พอจะเหมาะสมกลมกลืนกันไปได้ ถ้าเป็นอาคารขนาดใหญ่ก็จำต้องขยายหลังคาให้ใหญ่ออกไปเพื่อคลุมได้ทุกส่วนของตัวอาคารดังนี้ จึงทำให้ส่วนสัมพันธ์ของอาคารขนาดใหญ่ เกิดขัดแย้งกับหมู่อาคารข้างเคียงที่เป็นขนาดเล็กว่าได้ ฉะนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดสิ่งไม่ดีไม่งามขึ้น ก็จำต้องหาหนทางแก้ไขโดยแบ่งสัดส่วนหลังคาเป็นตอนๆ จึงเกิดเป็นชั้นซ้อนกันหลายชั้นดังนี้ อนึ่ง หลังคาย่อมประกอบขึ้นตามรูปของเนื้อพื้นที่อาคารนั้น อาคารที่มีขนาดความกว้างยาวมาก มักทำให้เกิดรูปหลังคาผิดขนาดไม่น่าดูดังกล่าว....ฉะนั้น การยกหลังคาส่วนสูงขึ้นซ้อนกันจึงได้ประโยชน์ดังกล่าวในประการแรก และทำให้เกิดความงามอีกลักษณะหนึ่งด้วย ซึ่งนายช่างไทยมีนิสัยและเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงคิดทำให้เกิดความสำคัญเพิ่มขึ้นแก่อาคารขนาดใหญ่ให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นจากหมู่อาคารทั้งหลาย.......

หรือถ้าจะให้เข้าใจไปอีกแง่หนึ่งก็คือ วัตถุก่อสร้างและวิธีก่อสร้างเป็นต้นเหตุบังคับให้ต้องดัดแปลงแผนแบบไปในทางที่สะดวก เป็นเหตุให้ต้องทำหลังลดหลั่นกันลงมา ในเมื่อต้องการขยายความยาวหรือความกว้างของอาคารนั้น ทั้งนี้ทำให้ยังเกิดผล 2 ประการ คือ สะดวกแก่การหาวัตถุและง่ายแก่การก่อสร้าง เช่น จะหาคานไม้ขนาดใหญ่พอที่จะรับน้ำหนักบรรทุก.....

ผลสืบเนื่องมาแต่วิธีการดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นปรากฏภายนอกอาคารตามความเป็นจริงของโครงสร้างภายในด้วย ซึ่งนายช่างไทยได้นำเอาส่วนนั้นๆ มาประกอบเป็นส่วนตกแต่งภายนอก ให้กลมกลืนกับทรวดทรงได้เป็นผลสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งนี้เป็นการเสริมให้ตัวอาคารดูสูงเด่นสมกับลักษณะเป็นอาคารอันเป็นประธาน และเมื่อการตกแต่งอันมีรายละเอียดเป็นลวดบัว ช่อฟ้า ใบระกา ปราลีฯ ตามลักษณะแบบอย่างไทยแล้วก็ยิ่งทวีความงามอย่างวิจิตรพิสดารตระการตายิ่งนัก อันทำให้เกิดเป็นแบบอย่างของสถาปัตยกรรมไทยที่ได้รับการยกย่องนับถือสืบเนื่องต่อกันมาจนทุกวันนี้

อาจารย์นารถ โพธิประสาท เป็นบุคคลตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง ความขยันมุมานะ ตั้งใจเรียนตั้งแต่สมัยเด็ก มีความพยายาม มุ่งมั่นต่อสิ่งที่รัก และมีความรับผิดชอบสูงมากต่องานที่ตนทำ และเป็นผู้ทำให้ก่อกำเนิดคณะสถาปัตยกรรมขึ้นภายในประเทศไทย ให้พวกเราได้มีโอกาสร่ำเรียนวิชาในคณะสถาปัตยกรรมสืบต่อมา เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Diary Trip ปี 5

Trip ปี5 กับการออกเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ระหว่างวันที่ 4/7/52 – 12/7/52



4/7/52
วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ออกเดินทาง เนื่องจากตัวเองไม่เคยออกไปเที่ยวใช้เวลานานเป็นอาทิตย์ขนาดนี้มาก่อน จึงเตรียมตัว จัดของใส่กระเป๋าอย่างทุลักทุเล ระหว่างนั่งในรถขณะออกเดินทางนั้น รู้สึกตื่นเต้น อยากรู้ว่าจะได้ไปเจออะไรบ้างใน9วัน นั่งมองสองข้างทางไปเรื่อย ดูทิวทัศน์สองข้างทางผ่านแต่ละจังหวัดๆ จนมาถึงจังหวัดสระบุรี จารย์จิ๋วได้พาพวกเรามายังบ้านอาจารย์ ทรงชัย เป็นที่แรกในtripนี้ บ้านอาจารย์ทรงชัยเป็นบ้านที่อนุรักษ์ธรรมชาติ และของเก่าโบราณไว้ภายในบ้าน เมื่อเข้ามาภายในบ้าน อาจารย์จิ๋วได้พาพวกเราไปพบกับอาจารย์ทรงชัยก่อน และให้อาจารย์ได้พูดคุยถึงบ้านเรือนไทยที่เราได้มาเยือนกัน อาจารย์ทรงชัยได้ถามพวกเราคำถามหนึ่งว่า ชีวิตที่แท้จริงต้องการอะไร เป็นคำถามที่ทำให้นึกได้ว่า เราอยู่กับแสงสี ภาพมายามาตลอดจนลืมว่าจริงๆแล้วเราต้องการแค่ชีวิตที่เรียบง่ายสบาย อยู่กับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมแล้วสบายที่สุด ธรรมชาติไม่ต้องการการสร้าง ดัดแปลงเปลี่ยนให้มาก มันมีความเป็นอิสรภาพของมันเอง


หลังจากที่อาจารย์ทรงชัยได้พูดเกริ่นความเป็นมาต่างๆแล้ว พวกเราก็ได้เดินเข้าไปถ่ายรูปกันอิสระ บ้านเรือนไทยที่นี้ เขาพยายามอนุรักษ์ให้คงเดิม ไม่แปรเปลี่ยน โดยออกแบบตัวบ้านให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่มีอยู่ ไม่ไปดัดแปลงทำลายมัน รักษาธรรมชาติไว้คงเดิม เก็บสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆไว้อย่างดี ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆที่เขาได้อนุรักษ์ไว้ มันมีค่ากับกาลเวลาที่เพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะหาได้แล้วในปัจจุบัน มันทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจว่าบ้านเรือนไทยที่อาจารย์ได้พามานี้ มันน่าสนใจอย่างไร


เมื่อพวกเราได้ถ่ายรูปกันสักพัก จนถึงช่วงเที่ยงๆ อาจารย์ทรงชัยได้พาพวกเราไปรับประทานอาหาร ซึ่งข้ามถนนไปอีกฝั่ง เป็นจุดที่พักทางอาหาร อาจารย์ได้เลี้ยงอาหารพวกเรา ข้าพเจ้าชอบน้ำใบเตยมาก กลิ่นใบเตยหวานหอมธรรมชาติมาก และข้าพเจ้ายังรู้สึกชอบขันเล็กๆไว้ใส่น้ำ ดูน่ารัก ได้อารมณ์ไทยๆไปอีกแบบ ระหว่างที่ทานอาหารไปสักพัก อาจารย์ทรงชัยได้จัดเตรียมการแสดงรำพื้นบ้าน ภาคเหนือ ให้พวกเราดู โดยมีเด็กเล็กๆเป็นคนแสดงรำต่างๆ เด็กๆตั้งใจแสดงกันทุกคน หน้าตายิ้มแย้มต้อนรับพวกเราตลอดเวลา ทำให้เรามีอารมณ์ผ่อนคลายร่วมไปด้วย การที่ได้มาบ้านอาจารย์ทรงชัยทำให้ข้าพเจ้าได้เริ่มปรับตัวจากชีวิตปกติประจำวัน มาพบกับสิ่งแวดล้อมที่ต่างจากเดิมๆ เริ่มเห็นความหมายของคุณค่าสิ่งเก่าโบราณ การอยู่กับสภาพแวดล้อมธรรมชาติท้องถิ่น
หลังจากนั้น พวกเราได้ออกเดินทางกันต่อมุ่งหน้าไปยังอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เมื่อไปถึงก็เริ่มเย็นแล้ว เราได้มุ่งไปยังวัดพระนอน กำแพงทำจากแผ่นศิลาแลง เห็นถึงสัจจะวัสดุที่ใช้
หลังจากนั้น พวกเราได้เดินไปยังวัดพระศรีอิริยาบถ ระหว่างเดินไปสามารถมองเห็นความสวยของแสงเทียนที่เขาได้จุดไว้รอบวัด เมื่อไปถึงก็เริ่มจะค่ำแล้ว แต่วัดนี้มีการประดับด้วยแสงเทียน ซึ่งวางไว้ล้อมรอบกำแพงแต่ละชั้น มองเห็นเป็นจุดๆเป็นแนวยาวตามกำแพง เหมือนเป็นการดึงดูดให้เข้ามาจากแสงเทียน ดึงอารมณ์ให้รู้สึกสงบจากการเดินตรงไปเรื่อยๆ ล้อมรอบด้วยสภาพแวดล้อมธรรมชาติ อาจารย์พาพวกเราไปดูจุดที่น่าสนใจ คือ พระยืน ซึ่งยืนอยู่โดยมีกำแพงโค้งล้อมหลังพระไว้ เพื่อโอบรัดพระพุทธรูป ไม่ให้รู้สึกเวิ้งว้าง เห็นถึงรา ไลเคนที่มาเกาะ แสดงให้เห็นถึงมิติของกาลเวลา เห็นถึงคุณค่าของการอนุรักษ์ให้คงอยู่ให้ได้ให้ในปัจจุบัน

วันนี้ก็ได้มาถึงสถานที่สุดท้ายที่ได้มาดู ถ่ายรูป ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกถึงความหมายของคำว่า อนุรักษ์ ขึ้นมาบ้าง เมื่อก่อนไม่ได้สนใจกับคำว่า อนุรักษ์มาก เหมือนเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ค่อยมีผลกับตัวเอง แต่เมื่อได้มาศึกษาวันนี้ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง รวมถึงเรื่องของสภาพธรรมชาติที่มีอยู่เดิมและการคงไว้ มันมีคุณค่ามาก

คืนนี้พวกเรามุ่งหน้าขึ้นเหนือไปพักโรงแรมที่จังหวัดลำปาง ข้าพเจ้าดีใจมากที่จะได้ไปเหนือ เพราะชอบบรรยากาศภาคเหนือเป็นการส่วนตัว เมื่อพูดถึงเหนือ มักจะนึกถึงบรรยากาศเงียบสงบ หนาวๆ แต่เนื่องด้วยยังไม่เคยได้มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสตอนเหนือสักที จึงรู้สึกตื่นเต้น ดีใจมากที่ได้มีโอกาสไปสักที
ลำปาง หนาวมาก สินะ!!!





5/7/52
เช้าแล้วๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้เป็นวันที่เริ่มต้นเข้าสู่การออกผจญภัยวันที่สอง ตื่นมาด้วยความง่วงนอนเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อคืนมาถึงที่พักดึกมาก แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่อาจารย์จะพาไปพบเจอ ระหว่างรอเพื่อนเข้าห้องน้ำ จึงคิดว่าจะไปสูดอากาศเหนือสักหน่อย บรรยากาศเหนือมันต้องหนาวกว่ากรุงเทพบ้าง แต่เมื่อเปิดประตูระเบียงห้องนอนออก พบว่า วันนี้ฝนตกซะแล้ว ไม่เป็นอย่างที่คิดเลย บรรยากาศที่คิดไว้ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เนื่องด้วยเรามากันในช่วงฤดูฝนด้วย ถ้ามาหน้าหนาวก็คงจะดีกว่านี้ แต่อย่างไรก็ยังไม่สิ่งที่ตื่นเต้น น่าสนใจรอเราอยู่
รถออกเดินทางมาสู่วัดไหล่หิน เป็นวัดแรกในการออกtripนี้ เมื่อดูโดยรวมๆของวัดนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างไร มันสวยงามตรงไหนอย่างไร จนกระทั่งอาจารย์จิ๋วได้เริ่มพูดอธิบายถึงส่วนต่างๆ องค์ประกอบของวัด รายละเอียดต่างๆ ภายในวัด การลงรัก การคงวัสดุความเก่าแก่ให้คงอยู่ คุณค่าของงานสถาปัตยกรรมแบบล้านนา และข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกมากขึ้น เมื่ออาจารย์เจ็งได้เล่าถึงตอนที่อาจารย์ได้เข้ามาครั้งแรก และเกิดความรู้สึกต่อspaceที่แทนถึงสัดส่วนต่างๆ กับระยะต่างๆ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงวัดนี้มีความเด่น น่าสนใจขึ้นมาทันที
เมื่ออาจารย์อธิบายเสร็จเรียบร้อย ก็ให้พวกเราลุยเก็บภาพกัน แต่ออกจะดูทุลักทุเลสักหน่อยในการถ่ายรูปครั้งนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ไม่แรงแต่เรื่อยๆ พวกเราจึงต้องเตรียมตัว กางร่ม ใส่เสื้อกันฝน หาถุงพลาสติกมาหุ้มกล้องกันฝนกันทุกวิถีทาง ดูแล้วก็ได้บรรยากาศอีกแบบ หลายคนใส่เสื้อกันฝนหลากสีบ้าง กางร่มบ้าง ดูมีสีสันสดใสหลากหลายดี และนอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องบังกล้องกัน เนืองจากวัดมีขนาดไม่ใหญ่ แล้วเข้ากันไปจำนวนมาก และบางคนกางร่มแล้วไปติดหน้ากล้องคนโน้น คนนี้บ้าง ถือว่าการถ่ายรูปครั้งนี้เป็นการทดสอบอารมณ์ว่าใครมีความอดทน ไม่หงุดหงิดง่าย
หลังจากนั้นสายๆ เกือบเที่ยง เราได้เดินทางมายังวัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดที่ข้าพเจ้าชอบมากตั้งแต่ได้เห็น ในความคิดของข้าพเจ้ารู้สึกสัดส่วนสวยงามพอดี และข้าพเจ้าชอบSpaceการเชื่อมต่อภายในภายนอกที่ไปด้วยกัน ซึ่งเชื่อมตัววิหารแต่ละวิหารด้วยลานโล่งกว้าง ตัววิหารไม่มีการปิดกั้นผนัง ทำให้ความรู้สึกภายในภายนอกเชื่อมกัน แม้แต่การวางตำแหน่งซุ้มประตูทางเดินเข้าสู่ภายในวัด เมื่อหันหน้าจากวิหารมองออกไป สามารถมองเห็นวิวที่สวยงาม แต่การประดับตกแต่งนั้นไม่หรูหราวิจิตรมาก แต่ดูมีคุณค่าของการใช้วัสดุ และงานช่างสมัยก่อนที่เขามีความเข้าใจและสำนึกในเรื่องspace ความละเอียดอ่อน ซึ่งสมัยนี้ไม่มีช่างสืบสกุล จึงทำให้ไม่สามารถได้งานที่เป็นการอนุรักษ์จริงๆ
วัดต่อไปที่ได้ไป คือ วัดปงยางคก ลักษณะคล้ายวัดพระธาตุลำปางหลวง ที่เป็นการเปิดเชื่อมspace ภายในกับภายนอก ลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านนา ฝีมือช่างที่สูง
หลังจากนั้น อาจารย์จิ๋วได้พาพวกเราไปดูหมู่บ้าน ระหว่างทางที่ออกรถ เราได้แวะจอดข้างทางถ่ายรูปบ้านที่มีลักษณะเป็นบ้านไม้ ที่มีspace ที่เกิดจากระนาบ เส้นสายสายการวางเรียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ อย่างธรรมชาติ การผุกร่อนอย่างธรรมชาติที่ทำให้เกิด เส้นสายสาย ระนาบ ดูน่าสนใจ ข้าพเจ้าชอบช่วงที่ลงมาเดินถ่ายรูปตามบ้านเช่นกัน เนื่องจากบ้านแต่ละหลังมีspace ที่น่าสนใจต่างๆกัน บางที่เห็นแล้วมันดูสวยด้วยความเป็นธรรมชาติของมันเอง ไม่ต้องไปประดับตกแต่งให้มากเกิน ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้านึกถึงหรือเห็นบ้านไม้เก่าๆ ผุพัง ก็คิดว่าควรซ่อมแซมใหม่จะดีกว่า ดูน่ามองกว่า แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าพบว่ามันมีความงามซ่อนอยู่ในความเก่า ผุพังของมัน
ธรรมชาติมีอะไรน่าสนใจอีกมากมายให้เราหลงใหลเสมอ แล้วพรุ่งนี้ธรรมชาติที่เราจะไปพบจะเป็นอย่างไร 6/7/52
เช้านี้เริ่มด้วยการเดินตะเวนถ่ายรูปในหมู่บ้าน ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง ซึ่งสภาพอากาศยังคงไม่เป็นใจ ฝนยังคงตกไม่หยุด บรรยากาศการถ่ายรูปเลยดูเฉอะแฉะกัน แต่ทุกคนก็เตรียมพร้อมรับมือกับฝนไว้แล้ว นำถุงพลาสติกมาหุ้มกล้อง แล้วลุยถ่ายรูปกัน วันนี้ข้าพเจ้าได้เดินถ่ายบ้านนั้นบ้านนี้ไปเรื่อยๆ ตามความสุนทรีย์ ไม่รีบร้อน แม้ว่าเพื่อนจะนำหน้าไปไกลแล้ว เนื่องจากบ้านแต่ละหลังนั้นมีความสวยงามแบบธรรมชาติ สภาพแวดล้อมต้นไม้ที่นี้เรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์สดชื่นมาก ต้นไม้ที่ปลูกแต่ละบ้านมีดอกใบที่ใหญ่สวยงาม แสดงว่าคนในบ้านนั้นคงมีความเป็นระเบียบ รักษาดูแลสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ยิ่งประกอบกับฝนที่ตกลงมานั้น ยิ่งขับให้สีของใบดูสด มัน สีดินดูเข้ม ไม่แห้งแล้ง ดูแล้วชุ่มฉ่ำ ถือว่าฝนตกก็เป็นข้อดีอยู่เหมือนกัน เพียงแค่กลัวเรื่องจะเป็นไข้หวัดไปสักก่อน แต่บรรยากาศ สภาพแวดล้อมที่นี้ทำให้ยอมสู้ฝน ถ่ายแบบไม่กลัวกล้องจะพัง ยิ่งเดินถ่ายไป ยิ่งสนุก แต่จุดไคลแมกซ์อยู่ที่พื้นนาโล่งกว้าง เส้นโค้งตัดแปลงนาแต่ละแปลงดูสวยงามมาก สีเขียวสดของท้องนายิ่งขับความสดชื่น เพียงแค่ได้เห็น ข้าพเจ้ายิ้มอยู่ในใจ มันรู้สึกอิ่มเอมใจบอกไม่ถูก มันรู้สึกสมองโล่ง ปลอดโปร่งสบายสุดๆ ข้าพเจ้ารีบเดินลงไปในนาตามเพื่อนๆไป การเดินบนดินเหลวในแปลงนานี้มันช่างสนุกมันส์เสียจริง ฝนก็เริ่มตกแรงขึ้น เลนส์กล้องก็เปียกฝน เช็ดหน้าเลนส์จนผ้าเช็ดเปียกจนเช็ดซ้ำต่อไม่ค่อยได้แล้ว เดินก็ลื่นมาก จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ หญ้าแถวนั้นก็คม บาดเท้าบ้างพอสมควร แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกสนุกมาก ยิ่งเดินเข้าไปถ่ายลึกเรื่อยๆ เลนส์กล้องฝ้าก็ขึ้น เนื่องจากมีความชื้นสูง แต่ก็ยังคงถ่ายไปเรื่อย มาถึงจุดนี้แล้ว หยุดไม่อยู่ เดินตามเพื่อนๆถ่ายไปเรื่อยๆ บางคนเดินแล้วลื่นล้ม เสื้อเลอะ สนุกมันส์กันมาก จนกระทั่งอาจารย์เข้ามาตามให้กลับขึ้นได้แล้วเขากลับกันแล้ว
รถออกเดินทางมายังจุดหมายปลายทางต่อไป คือวัดข่วงกอม ต.แจ้ซ้อน วัดที่นี้มีบรรยากาศเงียบ สงบ มีสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมือนอยู่ในป่า วัสดุที่ใช้ทำกำแพงวัด บันไดเข้าสู่ลานวัด ใช้เป็นหินขนาดก้อนใหญ่ หลากสี แสดงให้เห็น texture ความไม่เนี๊ยบ ดูเข้ากับตัวสภาพแวดล้อมธรรมชาติ บรรยากาศภายในบริเวณรอบๆวัดที่ดูทึมๆ เงียบๆ ทำให้จิตใจรู้สึกสงบขึ้น













คืนนี้เรายังคงพักกันอยู่ที่ลำปาง เนื่องจากความเหนื่อยล้าที่วันนี้ได้ผ่านมาทั้งวัน ระหว่างสองข้างทางตอนนั่งรถกลับนั้นข้าพเจ้ารู้สึกอิ่มเอมกับการที่ได้สัมผัสกับกลิ่นอายธรรมชาติมาก มันช่างสดชื่น เย็นสบายที่สุด และได้หลับไปอย่างไม่รู้ตัว








7/7/52
วันนี้เริ่มออกเดินทางไปยังวัดพระแก้วดอนเต้า สุชาดาราม ต.เวียงเหนือ จ.ลำปาง วัดนี้เป็นรูปทรงแบบล้านนา ไม่เจาะช่องหน้าต่าง ใช้ลูกกรงแทน มีช่อฟ้าเป็นเอกลักษณ์ ต่อจากนั้นจึงเดินมาถ่ายรูปวัดสุชาดาราม และเดินต่อไปยังพระบรมธาตุดอนเต้า มีการตกแต่งประดับประดาหรูหรา ใช้กระจกสีตกแต่งประดับประดาเพดาน เสาหลากสี ต่างจากสองวัดที่ผ่านมาซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ไม่ได้ห่างกัน แต่เป็นคนละรูปแบบกัน
หลังจากนั้นช่วงบ่ายเราได้มายัง วัดปงสนุก วัดนี้มีความน่าตื่นเต้นตั้งแต่ก่อนเข้าวัด พื้นถนนเขาทำเป็นลายเส้นโค้งโดยใช้อิฐบล็อกสีต่างกัน ตัดกันอย่างชัดเจน เกิดเป็นลายเส้นFreeform นำสายตาเข้ามา เมื่อได้ขึ้นไปบนวัดนั้น ตัววิหารใช้สีแดงชาด และสีดำ ตัวหลังคามีการลดหลั่นระดับซ้อนกันสูงลดหลั่นไปเรื่อยๆ และตัวโครงสร้างที่ดูน่าสนใจ ช่างสมัยโบราณนั้นมีsenseการหลอกตา ลวงตา เพื่อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม การวางตำแหน่งเสาและโครงสร้างหลังคาที่ดูซับซ้อน เห็นแล้วนับถือช่างสมัยโบราณมาก เขาสามารถทำออกมาได้โดยไม่ได้เรียนอย่างเรา แต่ทำออกมาได้น่าทึ่ง

ตอนเที่ยงเราได้มาทานอาหารที่วัดศรีรองเมือง วัดนี้มีรูปแบบการตกแต่งคล้ายวัดปงสนุก มีการเล่นหลังคาซ้อนลดหลั่นกันไปคล้ายๆกัน ภายในวัดเก็บรักษาของเก่าแก่โบราณไว้ มีการตกแต่งเพดาน เสาหรูหราวิจิตร เมื่อเดินมาภายนอกรอบวัด มีการรักษาสภาพแวดล้อมธรรมชาติไว้โอบล้อมรอบตัววัดไว้อย่างดี

ต่อมาเมื่อเราพักทานข้างและถ่ายรูปที่วัดศรีรองเมืองแล้ว พวกเราได้ออกจากจังหวัดลำปาง ไปสู่จังหวัดลำพูนเพื่อที่จะไปเชียงใหม่ ระหว่างทางสองข้างทางเป็นป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์มาก ไม่มีการตัดไม้เผาป่า ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสดชื่น สบายตา สบายใจมาก
อาจารย์จิ๋วได้แวะให้พวกเราไปดูบ้านโบราณในจังหวัดลำพูนสองหลังก่อนที่เข้าสู่เชียงใหม่ บ้านโบราณที่ไปดูนั้นอยู่ต.มะกอก หลังแรกที่ได้ไปนั้นเป็นบ้านไม้สูงสองชั้น โดยรอบมีต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบมากในบ้านหลังนี้คือ ห้องน้ำ ที่เปิดโล่งรับทัศนียภาพธรรมชาติอย่างเต็มที่ แต่ข้าพเจ้าคงไม่กล้าที่จะใช้จริงๆ



หลังจากนั้นพวกเราได้เดินมาเรื่อยๆ มาสู่บ้านหลังที่สอง มียายเจ้าของบ้านชื่อ ยายบัวลา ใจจิตรบ้านหลังนี้สวยตั้งแต่ก่อนเข้ามาในบ้าน สามารถเดินถ่ายเข้ามาได้เรื่อยๆ ข้างบนบ้านคุณยายเก็บรักษาของเก่าไว้ในตู้โชว์เป็นอย่างดีคุณยายคงจะรักและหวงแหนมาก สักพักพวกเราได้มานั่งคุยกับคุณยาย รู้สึกเหมือนคุณยายจะดีใจที่พวกเรามาบ้านแก ชวนแกคุยไปยังสมัยสาวๆ ยายได้รับรางวัลประกวดนางงามด้วย มีมงกุฎเก็บไว้อยู่ด้วย เหมือนคุยไปยายก็รู้สึกสนุก ย้อนความหลังไปเรื่อย คุยไปยิ้มไป มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีไปด้วยและคิดถึงคุณยายของตัวเอง มักจะชอบให้ลูกหลานมาอยู่คุยด้วย คุณยายบัวลาถามพวกเราว่าพรุ่งนี้มาอีกไหม แกคงอาจจะเหงาอยู่บ้าง

พวกเราคุยกับคุณยายได้สักพักจนกระทั่งอาจารย์มาเรียกให้ไปขึ้นรถได้แล้ว บ้านคุณยายจึงได้เงียบสงบลงอีกครั้ง คืนนี้เราได้ทานอาหารค่ำที่ร้านอาหาร อาหารที่นี้อร่อยมาก อร่อยทุกอย่างที่สั่งมา ทานกันหมดทุกจาน และทำให้ข้าพเจ้าชอบอาหารเหนือเพิ่มมาอีกอย่าง คือ ลาบคั่ว ทานแล้วติดใจมากจริงๆ

หลังจากนั้น เราได้นั่งรถเพื่อมุ่งไปสู่เชียงใหม่ ซึ่งเราจะไปพักกันที่สนามกีฬา 700ปี





8/7/52
วันนี้ต้องรีบตื่นมาแย่งห้องน้ำกับเพื่อนๆร่วมห้องที่มีจำนวนมากกว่าปกติ แม้ว่าที่พักจะดูต่างจากที่ลำปางมาก แต่ก็ได้บรรยากาศอีกบรรยากาศ ได้อยู่กับเพื่อนๆหลายคน ก็สนุกไปอีกแบบ

เช้านี้อาจารย์พาพวกเราไปวัดพันเตา จ.เชียงใหม่ เป็นวิหารไม้ ใช้วิธียึดผนังเป็นลูกฟัก อาคารมีการลดชั้นหลังคา แต่ไม่ขยายมุก ฝาไม้ซอยโมดูลสัมพันธ์กับหน้าบรรณ ความงดงามของรวงผึ้ง ดูภายนอกอาคารเหมือนไม่ใหญ่ แต่ข้างในมีขนาดใหญ่เนื่องจากเพดานที่สูง ไม่มีการประดับประดา


หลังจากนั้นอาจารย์ได้พาพวกเราเดินไปไม่ไกลจากวัดพันเตา เพื่อไปดูโรงแรมยูเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการออกแบบประยุกต์ผสมผสานระหว่างอาคารเก่ากับอาคารใหม่ที่ไม่ไปทำลายส่วนเดิม
จากนั้นพวกเราจึงไปยังวัดทุ่งอ้อ อ.สันกำแพง วัดนี้ก่อนเข้าถึงตัววัด พวกเราได้เดินผ่านธรรมชาติสองข้างทาง เหมือนเดินเข้าสู่ป่า ต้นไม้บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ สีเขียวสด เมื่อเข้ามาสู่ตัววัด วัดมีขนาดเล็ก ต้องทยอยกันเข้าไปข้างวิหาร ตัววิหารไม่มีลวดลายมาก รวงผึ้งมีการปั้นปูน ค้ำยันผายออกไปให้เสาถัดไป
หลังจากนั้นจึงไปยังวัดต้นเกว๋น วัดนี้มีบรรยากาศสภาพแวดล้อมธรรมชาติสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมด้านหน้าเป็น Public Space องค์ประกอบสำคัญคือ วิหารกุฏี มีมณฑปโอบล้อมวิหารคด ต้นไม้รอบรั้วเป็นโกศล ส่วนต้นไม้ในพื้นที่ภายในวัด เป็นต้นตาล มีขนาดสูง ภายในวัดมีห้วงSpace ที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มอาจารจิ๋วตอนที่อธิบายถึงห้วงspaceที่เชื่อมจากด้านในไปด้านนอก และจากด้านนอกไปด้านใน ที่ต่างกัน ซึ่งอาจารย์จิ๋วเดินไปมาในวิหารโดยมีพวกนักศึกษาเดินตามดูสิ่งที่อาจารย์จิ๋วได้สื่อ อาจารย์เดินซ้ำไปซ้ำมา

อธิบายให้พวกเราเข้าใจอย่างแท้จริง มันช่างเป็นภาพที่ดูคึกครื้นดี เดินมองฝั่งนี้ที ฝั่งโน้นที
จากนั้นอาจารย์จิ๋วพาพวกเรามาดูงานแบบประยุกต์บ้าง โดยพามาที่โรงแรมราชมังคลา โรงแรมนี้ข้าพเจ้าสามารถเดินถ่ายภาพได้ทุกมุม มองมุมไหนก็สวยไปหมด ดูดีไปหมด ทำให้ข้าพเจ้าถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เป็นการถ่ายรูปที่เหนื่อยมาก กดชัตเตอร์ได้เรื่อยๆ บรรยากาศภายใน มีธรรมชาติเข้ามาโอบล้อม ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากวัดมาด้วย จึงออกแบบคล้ายๆวัดที่เราได้ไปดูๆกันมาก่อน มีการเปิดลานด้วยลานกรวดเม็ดละเอียด หลังคาโถงที่ถอดลักษณะแบบวัดมา พวกเราได้ถ่ายรูปกันอย่างเพลินเพลิด จนกระทั่งอาจารย์เรียกให้มารวมตัวกันกลับรถได้แล้ว
คืนนี้เราจะอยู่เชียงใหม่เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ต้องอำลาเชียงใหม่แล้วสิ แต่ยังไม่ได้รู้สึกว่ามาถึงเชียงใหม่




9/7/52
วันนื้หลังกินข้าวเช้าที่ม.ช.แล้ว อาจารย์ให้พวกเราไปถ่ายรูปเรือนไทยลื้อ เป็นเรือนโบราณ ต.ลวงเหนือ อ.ดอยสเก็ด มีหลายเรือนให้ถ่าย แต่ละเรือนก็มีความสวยเฉพาะของมัน

หลังจากนั้นจึงออกจากจังหวัดเชียงใหม่เพื่อไปจังหวัดสุโขทัยอาจารย์พาพวกเราไปเข้าหมู่บ้าน ที่แพร่ ระหว่างทางที่รถผ่าน สองข้างทาง เป็นป่าอุดมสมบูรณ์ เมื่อเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน สภาพแวดล้อมธรรมชาติที่นี้ มีความสวยงามมาก ต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ตัวบ้านแต่ละหลังยังคงลักษณะบ้านไม้โบราณไว้ สวยงามมาก หลังจากเดินถ่ายไปเรื่อยจนถึงนา อาจารย์ได้พาพวกเราไปยังบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ติดกับนา ไปดูวิธีการทำฝายขะลอน้ำ ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน พวกเราได้ลงไปเหยียบน้ำแล้ว รู้สึกดีใจมาก

ธรรมชาตินี่ดีจริงๆ ชั้นรักธรรมชาติ


ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ได้ไปมาในTripนั้นต่างมีความจริงใจ น่ารัก ต้อนรับ เชื้อเชิญพวกเราเป็นอย่างดี ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้นึกคิดอิจฉาพวกเขาที่มีชีวิตอยู่กันอย่างพอเพียง อยู่ได้กับธรรมชาติแวดล้อม ไม่ต้องการอะไรที่มันทันสมัย มาทำลายวัฒนธรรมเดิมๆของเขา ชีวิตดูอยู่อย่างเงียบ สงบ มีความสุข เมื่อมองผ่านมายังตัวเอง ดูสภาพแวดล้อมชีวิตเร่งรีบ วุ่นวาย มีแต่การแข่งขันแก่งแย่งกัน
หลังจากนั้นเราจึงออกแพร่และ มุ่งไปยังจังหวัดสุโขทัย ท้องฟ้าสุโขทัยยามค่ำคืนสวยมาก เห็นดวงจันทร์กลมโต สวยงาม



10/7/52
วันนี้เริ่มต้นด้วยการไป สนามบินสุโขทัย สนามบินที่นี้คงสภาพแวดล้อมไว้ดีมาก ได้รับรางวัลด้วย ข้าพเจ้าชื่นชอบการรักษา ดูแลธรรมชาติให้คงอยู่ ไม่เบียดเบียนมัน ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าสนามบิน จะสามารถเกี่ยวข้องกับสัมพันธ์กัยการรักษาส่งแวดล้อมรอบๆได้ เพราะการที่จะรักษามันเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ ดูแลอย่างเป็นระบบ ระเบียบ ซึ่งที่นี้ทำได้ดี ไม่รู้สึกถึงความขัดแย้งระหว่างตัวสถาปัตยกรรมกับสภาพแวดล้อม

หลังจากนั้นจึงไปต่อยังศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์เตาสังคโลก เครื่องสังคโลกมีความสวยงามมาก ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวสุโขทัย ที่สามารถทำของออกมาได้สวยงาม หลังจากนั้นอาจารย์ได้พาเดินไปข้างหลังศูนย์ เป็นบ้านพักไม้ ซึ่งบ้านหลังนี้ข้าพเจ้าชอบมาก มีการเล่นระดับ space อย่างสนุกสนาน ของเครื่องใช้ที่เขาได้วางในบ้าน สอดคล้องกับspace สื่อถึงวีถีการดำเนินชีวิตมาก
หลังจากนั้นจึงมายังอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ระหว่างทางเดินไปนั้น จู่ๆฝนก็ได้ตกลงมาแรงมาก พวกเราจึงมาหลบฝน ฟังอาจารย์จิ๋วอธิบาย เมื่อฝนหยุดตก พบว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามกว่าเสมอ สีสันใบไม้ ท้องฟ้าดูมีชีวิตีวา สีสด สวยงามมาก ภายในอุทยาน อาจารย์พาไปดูวัดเจดีย์เก้ายอด วัดเขาใหญ่ วัดนางพญา ซึ่งมีลักษณะถึงลักษณะสถาปัตยกรรมแบบศรีสัชนาลัย วัดเจดีย์เจ็ดแถวและวัดช้างล้อม

วัดเจดีย์เก้ายอด
วัดนางพญา

วัดเจดีย์เจ็ดแถว


วัดช้างล้อม


ซึ่งเมื่อมาถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงนั้นก็เริ่มค่ำแล้ว ทำให้ถ่ายรูปอะไรไม่ค่อยได้นัก อาจารย์น้ำจึงได้ถามพวกเราว่าอยากถ่ายไหม ถ้าอยากถ่ายให้มาพรุ่งนี้แต่เช้า ตื่นตีห้าครึ่ง ซึ่งคำตอบที่ได้ส่วนใหญ่คืออยากจะมาเก็บรูปกันอีกครั้ง อาจารย์จึงได้นัดพวกเราไว้ให้เตรียมพร้อมวันพรุ่งนี้



11/7/52
ได้กลับไปยังวัดมหาธาตุเชลียง เพื่อเก็บรูปกัน เมื่อไปถึงพบว่าทัศนียภาพโบราณสถานมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปบดบังด้วย นั่นคือ เส้นสะพานโค้ง ซึ่งมันเห็นอยากเด่นชัด ทำลายงานโบราณสถานมาก

วัดนี้คงจะต้องพูดถึงองค์พระที่เรียกได้ว่าสวยงามที่สุด ลักษณะใบหน้า ท่วงท่าขององค์พระ ช่างปั้นออกมาได้ดีมาก เหมือนองค์พระกำลังเดินเยื้องออกมา ใบหน้ายิ้มแย้ม ได้รูป ดูแล้วมีสัดส่วนสวยงามมากทีเดียว
หลังจากนั่นเราจึงเข้าสู่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เข้าไปวัดมหาธาตุสุโขทัย วัดศรีสวาย แล้วมายังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ดูตัวโมเดลสุโขทัย และมีพี่มาอธิบายลักษณะการวางส่วนต่างๆ การทำคันดินกั้นน้ำ กักเก็บน้ำ จากนั้นจึงต่อไปยังวัดพระพายหลวงและวัดศรีชุม แล้วจึงต่อด้วยการขึ้นไปดูเขื่อนสรีดภงค์ มีความสวยงามมาก กักเก็บน้ำขนาดใหญ่ มองไปทัศนียภาพด้านหลังเป็นภูเขาล้อมรอบ รู้สึกถึงความสวยงามของธรรมชาติ ท้องฟ้ายามเย็นมีสีสวยงามมาก



วัดมหาธาตุ

วัดศรีสวาย

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


วัดพระพายหลวง




วัดศรีชุม


เขื่อนสรีดภงส์



12/7/52
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการผจญภัยTripนี้ เวลาแห่งความสนุกใกล้จะจบลงแล้ว กลับไปจากtripคงมีเรื่องต่างๆให้สะสางทำงานต่อ ซึ่งแตกต่างจากตอนอยู่ที่นี้ ที่อยู่กับธรรมชาติทั้งวัน อยู่แล้วรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง
ระหว่างทางกลับ อาจารย์จิ๋วพาพวกเราไปพิษณุโลก ไปวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่เริ่มถ่ายแต่มุมมอง ลักษณะเดิมๆ คล้ายๆหลายวัดที่ได้ถ่ายมาในTripนี้ จึงเริ่มมีความเบื่อเล็กน้อย จึงเข้าไปไหว้พระในวิหาร และได้เซี่ยงเซียมซีกันกับเพื่อนๆ ผลออกมาไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีมาก


หลังจากนั้นอาจารย์พาไปวัดราชบูรณะอีกวัด เป็นที่สุดท้ายที่ไปในTripนี้ ภายในวัดมีผู้คนมากมาย เนื่องจากวันนี้ที่วัดมีงานด้วย ภายในวัดนี้มีทั้งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เรือยาวให้คนลอด ก็ดูได้อารมณ์ไปอีกแบบ


ระหว่างนั้งรถเพื่อกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ข้าพเจ้าได้นั่งทบทวนสิ่งต่างๆที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่เคยพบเจอ ไม่เคยคิด มองในมุมมองแบบนี้ รู้ถึงคุณค่า ความหมายของสิ่งที่ควรอนุรักษ์มากขึ้น เข้าใจวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นมากขึ้น และยังคิดถึงคุณยายบัวลากับรอยยิ้มของคุณยายเสมอ เรื่องราวความสุขเล็กๆน้อยที่ได้เกิดภายในใจของข้าพเจ้า รวมถึงไม่คิดว่าพวกเราจะมีความทรหด อดทน9วันได้ขนาดนี้ โชคดีที่ไม่มีใครเป็นไข้
ต้องขอขอบคุณเรื่องราวที่เกิดขึ้นในTripนี้ ที่สอนประสบการณ์ต่างๆที่ไม่สามารถหาได้จากตัวหนังสือ เป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้นและรู้จัก เข้าใจคุณค่า ความหมายสิ่งสำคัญมากขึ้น และต้องขอบคุณอาจารจิ๋วในการเดินทางtripนี้ ที่แกทรหดอดทนมาก อธิบายสอนพวกเราอย่างตั้งใจ อยากให้ลูกศิษย์ได้รับอะไรไปบ้าง นอกจากนี้ยังเป็นห่วง กลัวพวกเราจะไม่สบาย คอยสอบถามคนไม่สบายตลอด


การเดินทางTripนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่มันยังคงอิ่มเอมอยู่ภายในจิตใจของพวกเรา เรื่องราวที่ไม่สามารถพบเจอได้ง่ายทั่วไปอย่างนี้คงจะไม่ผ่านเข้ามาบ่อย ข้าพเจ้าคงจะเก็บความทรงจำนี้ไว้ตลอดไป มันช่างเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ ความรู้สึกอิ่มเอมกับกลิ่นอายธรรมชาติยังคงอยู่กับข้าพเจ้าเสมอในจิตใจ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจริง